อเมริกายังคงเป็นหนึ่งในประเทศยอดฮิตสำหรับการเลือกไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ ด้วยความที่เป็นประเทศที่มีวามความหลากหลาย ทั้งเชื้อชาติ ภูมิประเทศ รวมถึงเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกหลายๆ ที่ด้วย เลยไม่แปลก หากสิ่งเหล่านี้จะทำให้ใครหลายๆ คนมั่นใจว่าอเมริกาคือประเทศที่ตอบโจทย์ด้านการเรียนมากที่สุด และเพื่อประกอบการตัดสินใจ เรามาดูกันดีกว่าว่า 7 อันดับเมืองที่ดีที่สุดสำหรับการเรียนต่อในอเมริกา จะมีเมืองอะไรบ้าง และกำลังเป็นหนึ่งในตัวเลือกของใครอยู่รึเปล่า
1. บอสตัน (Boston)
บอสตันเรียกกันอีกชื่อว่า “เอเธนส์แห่งอเมริกา” ที่เรียกแบบนี้เพราะเป็นที่ตั้งของ Massachusetts Institute of Technology: MIT และ Harvard University ที่ถูกจัดว่าเป็นมหาวิทยาลัยอันดับต้น ๆ ของโลก ดังนั้น ด้วยเหตุผลนี้ที่นี่จึงถือว่าบอสตันเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการศึกษาที่ดีที่สุดของโลกและเป็นที่นิยมอย่างมากสำหรับนักเรียนที่ต้องการศึกษาในต่างประเทศ นอกจากนี้บอสตันเป็นหนึ่งในเมืองประวัติศาสตร์ที่สำคัญที่สุดในอเมริกา เพราะมีเส้นทาง Freedom Trail ที่เชื่อมโยงไปยังแลนด์มาร์กสำคัญมากมาย อีกทั้งยังมีศิลปะและความบันเทิงที่หลากหลายอย่างที่ใครหลาย ๆ คนชื่นชอบ แต่! ความคึกคักของบอสตันไม่ได้กระจัดกระจายเท่ากับเมืองอื่น ๆ ซึ่งง่ายต่อการเดินทางด้วยระบบรถไฟใต้ดินที่ยอดเยี่ยม (และประหยัด) นั่นเอง
2. นิวยอร์ก (New York)
เพราะนิวยอร์กเป็นที่รู้จักในชื่อ “เมืองที่ไม่เคยหลับใหล” มีสิ่งเพลิดเพลิดให้เราได้พบเจออยู่เสมอ ตั้งแต่ตึกสูงระฟ้าและสถานที่ท่องเที่ยวของแมนฮัตตัน เช่น Central Park, ตึกเอมไพร์สเตท จนถึง Brooklyn Bridge ซึ่งห้าเขตในนิวยอร์กที่มีลักษณะเฉพาะตัว มีความบันเทิงและกิจกรรมมากมายให้นักศึกษาต่างชาติได้เลือกทำในทุกส่วนของเมือง โดยแต่ละคนอาจจะรู้จักนิวยอร์กในมุมมองที่ต่างกัน แต่ก็ต้องยอมรับว่า นอกจากเมืองนี้จะโด่งดังเรื่องสถาปัตยกรรม ศิลปะ และแฟชั่นวีคแล้ว การศึกษาระดับอุดมศึกษาในนิวยอร์กยังอยู่ที่อันดับที่ 18 ของโลกจากการจัดอันดับของ QS Best Student Cities ประจำปี 2023 โดยมีมหาวิทยาลัยอันโด่งดังใน Ivy League เช่น Columbia University, New York University และ Yeshiva University
3.ลอสแอนเจลิส
(Los Angeles: LA)
หากพูดถึงลอสแอนเจลิสก็ต้องนึกถึงฮอลลีวูด (Hollywood) ด้วยความที่เมืองนี้มีห้องจัดแสดงศิลปะ พิพิธภัณฑ์ โรงละคร และสถานที่จัดการแสดงมากมาย จึงไม่แปลกที่ LA จะถูกเรียกว่า “เมืองหลวงแห่งการสร้างสรรค์ของโลก” เพราะว่านอกจากจะมีมหาวิทยาลัยรัฐขนาดใหญ่แล้ว LA ยังมีวิทยาลัยเอกชนหลายแห่ง ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านศิลปะเชิงสร้างสรรค์ทุกแขนง โดยปัจจุบัน University of Southern California และ UCLA (มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิส) ต่างก็ได้รับการจัดอันดับให้อยู่ใน 25 ของมหาวิทยาลัยชั้นนำของอเมริกาในหมวดหมู่มหาวิทยาลัยแห่งชาติของ US News และ World Report แถมการเรียนที่เมืองนี้ยังเหมาะสุด ๆ สำหรับคนที่ชอบแดด เพราะรับประกันได้เลยว่าจะมีแสงแดดตลอดทั้งปี นอกจากนี้ LA ยังเป็นหนึ่งในเมืองที่หลากหลายที่สุดในอเมริกาด้วย และมักถูกเรียกว่า “ชามสลัดแห่งวัฒนธรรม” เพราะไม่ว่าจะอยู่ในย่านไหน รับรองได้ว่าคุณจะได้ยินคนพูดภาษาต่าง ๆ ที่ไม่ใช่แค่ภาษาอังกฤษแน่นอน
4. ซานฟรานซิสโก (San Francisco)
หากพูดถึงอเมริกา ต้องยอมรับว่าซานฟรานซิสโกน่าจะเป็นเมืองที่หลายๆ คนนึกถึงเป็นอันดับแรก ด้วยความที่มีแลนด์มาร์กอย่าง สะพานโกลเดนเกท (Golden Gate Bridge) แถมยังเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด และมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียด้วย นอกจากนี้ซานฟรานซิสโกยังถูกรู้จักในฐานะของศูนย์กลางเทคโนโลยีและนวัตกรรมอย่างซิลิคอนแวลลีย์ (Silicon Valley) และยังเป็นที่ตั้งของบริษัทนวัตกรรมหลายร้อยแห่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคเทคโนโลยี อย่าง Apple, Facebook และ IBM ซึ่งสามารถดึงดูดนักศึกษาที่มีความทะเยอทะยานและรักในเทคโนโลยีได้ง่าย ๆ อย่างไม่ต้องสงสัย แต่! ซานฟรานซิสโกก็ยังมีชื่อเสียงในด้านศิลปะและวัฒนธรรมด้วยนะ และเป็นที่ตั้งของสถาบันสำคัญเช่น San Francisco Museum of Modern Art, Fine Arts Museums of San Francisco และ San Francisco Art Institute ด้วย
5. ชิคาโก (Chicago)
“เมืองแห่งลม” เป็นที่รู้จักว่าเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบและตึกสูง ด้วยความที่เป็นเมืองใหญ่เป็นอันดับสามของอเมริกาและมีชื่อเสียงในด้านสถานบันเทิงยามค่ำคืนที่มีชีวิตชีวา ซึ่งชิคาโก้อาจเป็นเมืองที่นักศึกษาต่างชาติให้ความสนใจด้วยเหตุผลนี้ แต่จริง ๆแล้ว ชิคาโก้เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดของสหรัฐอเมริกาสองแห่ง ได้แก่ มหาวิทยาลัยชิคาโก (University of Chicago) และมหาวิทยาลัยนอร์ธเวสเทิร์น (Northwestern University) ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 13 และ 26 ตามลำดับในการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลกโดย THE World ประจำปี 2023 แถมยังเป็นเมืองใหญ่ที่เดินทางสะดวก มีทางเลือกการคมนาคมหลายทางด้วย เพราะฉะนั้นอาจจะเป็นเหตุผลที่ชี้ชัดได้ว่าทำไมชิคาโก้จึงเป็นเมืองในฝันของการทำงานและการไปเรียนของหลาย ๆ คน
6. วอชิงตัน ดีซี (Washington D.C)
มาถึงเมืองที่มักจะอยู่ในภาพยนตร์ เรียกว่าได้ว่าแทบจะทุกเรื่องในหนัง Hollywoods เลยก็ว่าได้ นั่นก็เพราะว่าวอชิงตัน ดีซี เป็นเมืองที่สำคัญทางประวัติศาสตร์และการเมืองของอเมริกา เพราะเป็นที่ตั้งของ ทำเนียบขาว (White House), ศาลฎีกา (Supreme Court), และอนุสรณ์สถานลินคอล์น (Lincoln Memorial) อีกทั้งยังเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยชั้นนำหลายแห่ง เช่น มหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ (Georgetown University) และมหาวิทยาลัยจอร์จวอชิงตัน (George Washington University) ซึ่งการเรียนที่เมืองนี้จะให้ประสบการณ์ที่ไม่เหมือนคนอื่น ๆ เลยเพราะมีทั้งสำนักงานใหญ่ของธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศที่อยู่ใน DC ทำให้เมืองนี้เป็นศูนย์กลางทางการเมืองและธุรกิจระดับโลก ซึ่งหมายความว่านักเรียนทุกคนมีโอกาสในการฝึกงานและการจ้างงานจากองค์กรเหล่านี้นั่นเอง
7. ฟิลาเดลเฟีย (Philadelphia)
มาถึงอันดับสุดท้ายกันแล้ว ฟิลาเดลเฟียตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของอเมริกา ระหว่างนิวยอร์กและวอชิงตัน ดีซี และเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์อย่างการลงนามในปฏิญญาอิสรภาพในปี พ.ศ. 2319 ซึ่งระฆังแห่งอิสรภาพก็อยู่ที่เมืองนี้ด้วย ชาวเมืองฟิลาเดลเฟียมีความหลงใหลในเรื่องกีฬามาก ทั้งในระดับมืออาชีพและการแข่งขันในมหาวิทยาลัย เมื่อรวมกับพิพิธภัณฑ์ หอศิลป์ งานศิลปะ โรงละคร และดนตรีชั้นยอดที่คัดสรรมาเป็นอย่างดี ทำให้ฟิลาเดลเฟียเป็นศูนย์กลางที่รุ่งเรืองสำหรับการใช้ชีวิตในฐานะนักศึกษามาก ๆ ที่สำคัญคือฟิลาเดลเฟียยังมีค่าครองชีพถูกกว่าเมืองใหญ่อื่น ๆ ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งอาจดึงดูดนักศึกษาต่างชาติที่มีงบจำกัดเป็นพิเศษ
นอกจากนี้ยังเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงหลายแห่งรวมถึงมหาวิทยาลัยในกลุ่ม Ivy League เช่น มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย (University of Pennsylvania) มหาวิทยาลัยเดร็กเซล (Drexel University) และมหาวิทยาลัยเทมเพิล (Temple University) โดยออกไปไม่กี่ชั่วโมงในเมืองพิตต์สเบิร์ก (Pittsburgh) เมืองรองของเพนซิลเวเนีย (Pennsylvania) และยังมีมหาวิทยาลัยคาร์เนกีเมลลอน (Carnegie Mellon University) ที่ได้รับการจัดอันดับสูงอีกด้วย